ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

มักง่ายไม่ดี

๑๑ มี.ค. ๒๕๕๕

 

มักง่ายไม่ดี
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๕
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อันนี้คำถามเนาะ มันข้อ ๘๑๑. มันคำถามเดิม แบบว่าคำถามเดิมมันซ้ำ ยกเลิกเลยล่ะ ข้อ ๘๑๑.

ข้อ ๘๑๒. มันเป็นปัญหาส่วนตัวไง

ถาม : ๘๑๒. เรื่อง “กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพ ขอความกรุณาทำลิ้งค์ดาวน์โหลดหนังสือธรรมะของหลวงพ่อด้วยค่ะ”

ตอบ : คือมันมีอยู่แล้ว แล้วเขาโหลดไม่ได้หรืออย่างไรไม่รู้ มีปัญหาอย่างนี้มาเยอะ ฉะนั้น ผ่านไป

ทีนี้จะเข้าปัญหานะ นี่ความเข้าใจของคน

ถาม : ข้อ ๘๑๓. เรื่อง “พลังงานของพระอรหันต์ ส่งให้ผู้อื่นแล้วมีผลเกิดขึ้นหรือไม่? แล้วคงอยู่นานหรือไม่?”

กราบนมัสการหลวงพ่อ โยมได้ทราบถึงการปฏิบัติของสายอภิญญา ที่มักจะกล่าวอ้างถึงหลวงปู่องค์หนึ่ง ลูกศิษย์สายนี้เขาจะเน้นการเผยแผ่พระศาสนา และมีการได้รับพลังงานมา โดยใช้คำว่า “หลวงปู่แบ่งพลังให้” จึงมีปรากฏการณ์ว่ามีการเหาะได้แต่ไม่บ่อยนัก ทั้งนี้มีการสร้างศรัทธาเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่นั่นก็คือวิธีของเขา เพียงแต่โยมเทียบเคียงว่าในสายหลวงปู่มั่นเรา ถ้าพระอรหันต์องค์หนึ่งนั่งต่อหน้าผู้ปฏิบัติธรรม เช่นถ้าโยมที่เหมือนเด็กน้อยกำลังหัดเดินอยู่ แล้วถ่ายทอดพลังงานมาจะทำให้จิตรวมลงได้ อันนี้หลวงพ่อว่าเป็นไปได้หรือไม่คะ?

โยมอาจจะจินตนาการแบบหนังจีนมากไปหน่อย แต่หลวงพ่อไม่ต้องยกฝ่ามือก็ได้ เพียงแต่เพ่งพลังงานให้จิตรวม (เขาว่านะ) ถ้าเป็นไปไม่ได้ แล้วพลังงานที่ส่งมาหายไปไหน? โยมคิดว่ามีพลังงานที่ส่งออกมานี้แน่นอน อย่างเช่นเขาไปหาหลวงปู่องค์หนึ่ง แบบว่าเขาเอานิ้วมาแตะหน้า เขาได้รับพลังงานนั้นอย่างนั้นแน่นอน

ตอบ : นี่เขาพูดนะ เขามาพูด นี่ความเชื่อไง ทีนี้ความเชื่อ เห็นไหม เราบอกมีคนคิดมากอย่างนี้ ว่าถ้าเรามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์จะคอยคุ้มครองเรา คอยดูแลเรา ใช่ ครูบาอาจารย์คอยคุ้มครองเรา คอยดูแลเรา แต่ดูแลเรา อย่างเช่นสายกรรมฐานเรานี่เราจะบอกว่า “พ่อแม่ครูจารย์”

พ่อแม่ครูจารย์นะดูแลตั้งแต่ เห็นไหม อย่างเช่น ตอนที่เราอยู่กับหลวงตานะ ถ้าอยู่ต่อหน้าหลวงตา ยูเอชทีนี่ ถ้าใครเอาเข้าปากนะท่านชี้หน้าเลย บอกว่า “ไม่ใช่ลูกศิษย์เรา” ท่านบอกว่าเวลาท่านเป็นพระหนุ่ม ท่านอยู่ที่โคราช เวลาท่านบิณฑบาตมา หรือว่าไปไหนมา มันจะมีเขาถวายนม ท่านก็ลองฉันดู พอฉันเข้าไปแล้วมันจะเกิดพลังงานมาก ตั้งแต่นั้นมาท่านเห็นว่า อ๋อ เพราะนม ท่านเลยพยายามจะละ พยายามจะละนะ ท่านบอกว่าตอนนั้นเป็นพระหนุ่ม เห็นไหม พอฉันข้าวเข้าไป ฉันข้าวนะ พอฉันข้าวเสร็จแล้วมันก็ยังอยากอยู่ ทั้งๆ ที่อิ่มแล้วนะ

นี่กิเลสเวลามันยังหนุ่ม ยังแน่น มันต้องการทุกๆ อย่าง แต่ทุกๆ อย่างที่เข้าไปแล้วมันกลับเป็นโทษ เป็นโทษหมายถึงว่าร่างกายมันเข้มแข็งเกินไป ทุกอย่างมันจินตนาการไปทางโลกหมดไง แล้วท่านก็พยายามละเว้น ฉะนั้น ท่านบอกว่าตั้งแต่นั้นมา ท่านได้นมมา ได้สิ่งใดมาท่านจะให้พระองค์อื่นไป หรือให้พระผู้เฒ่า ท่านเองท่านจะไม่แตะเลย นี่ท่านจะควบคุมดูแลท่าน

นี้เราจะบอกว่าท่านได้พิสูจน์ของท่านก่อน พอท่านพิสูจน์ของท่านก่อนเสร็จแล้ว พอเราอยู่กับท่านนะ อยู่ด้วยกันนะ เวลาพระอยากจะฉันนมต้องคอยสังเกต สังเกตว่าท่านหันหน้าไปทางไหน ถ้าหันหน้าไปทางนู้นรีบดูดแล้วรีบวาง พระหนุ่มๆ มันก็อยากธรรมดานั่นแหละ แต่เห็นโทษ ท่านบอกว่าถ้าใครฉันด้วยความพลั้งเผลอ ต่อหน้าท่านท่านชี้เลยนะ “ไม่ใช่ลูกศิษย์เรา” ท่านชี้เลยนะ “ไม่ใช่ลูกศิษย์เรา”

เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะว่าพวกเรานี่เด็กน้อยเกินไป เราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เราอยากฉันนั่นน่ะ ใช่มันอิ่มปาก แต่เวลาภาวนาไปมันจะมีโทษไง ท่านบอกเรื่องนี้มันจะไปสร้างกามราคะ มันจะสร้างให้มีความกำหนัด มันจะไปทำอะไรอีกมหาศาลเลย แต่ถ้าเราละมันซะ เราละมัน คือว่าเราฉันอย่างอื่นใช่ไหม? เราฉันข้าวเราก็อิ่มได้ เราฉันสิ่งที่ไม่เป็นโทษมันก็เป็นประโยชน์ นี้เราจะบอกว่านี่ไงครูบาอาจารย์ท่านดูเรา เห็นไหม เขาถามว่า

ถาม : ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ท่านดูแลเราไหม?

ตอบ : ดูแล ดูแลเป็นพ่อแม่ครูจารย์ ดูแลแม้แต่ว่าเรานี่พลั้งเผลอ เรานี่ฉันอาหาร เรานี่ไม่ตั้งสติ ท่านบอกว่าแม้แต่การเดินนะ เดินโดยที่ขาดสติท่านยังรับไม่ได้เลย เพราะการเดินเราต้องมีสติ เราต้องฝึกหัดมาตลอด ฉะนั้น พระอรหันต์คอยดูแลเราไหม? ดูแล นี้ดูแลทางการดำรงชีวิตนะ แล้วเวลาดูแลในการปฏิบัติล่ะ?

นี่ดูแลในการปฏิบัติ สิ่งที่ว่าดูแล เห็นไหม ท่านจะดูแลของท่าน หลวงตาท่านเล่าให้ฟังนะ ท่านบอกว่าเวลาท่านภาวนาของท่านไป ท่านต่อสู้ ตอนนั้นท่านพิจารณากาย พอพิจารณากายอย่างเต็มที่เลยแล้วมันเหนื่อย ใครพิจารณาจะรู้นะ เวลาพิจารณาไปแล้วมันจะเหนื่อยมาก ไปทำความสงบของใจก่อน ใจเข้มแข็งแล้วพิจารณา พอพิจารณาเสร็จท่านก็เหนื่อยใช่ไหม? ท่านก็แบบหยุดไว้ หยุดไว้คือยันไว้เฉยๆ พอเสร็จแล้วพอออกจากภาวนา ตอนบ่ายท่านก็ไปทำข้อวัตรกับหลวงปู่มั่น พอไปทำความสะอาดกุฏิไง หลวงปู่มั่นถามว่า

“มหา มหาภาวนาอย่างนั้นหรือ? ภาวนาแบบหมากัดกัน มหา มหาภาวนาอย่างนี้หรือ? ภาวนาอย่างหมากัดกัน”

นี่ท่านพูดนะ หมากัดกันหมายถึงว่ายันไว้ เห็นไหม สังเกตว่าเวลาหมามันกัดกัน มันกัดแล้วมันไม่ปล่อย พอไม่ปล่อย ๒ ตัวมันจะยื้อกันอยู่อย่างนั้นแหละ นี่ภาวนาแบบหมากัดกัน นี่พูดถึงเวลาหลวงปู่มั่นท่านดูแลการปฏิบัติของหลวงตา แล้วหลวงตาท่านก็เล่าให้ฟัง เวลาท่านเล่าให้พวกเราฟัง บอกว่า

“ถ้าหลวงปู่มั่นท่านส่งจิตมาดูเราก่อนหน้านี้ท่านจะไม่พูดแบบนี้เลย เพราะก่อนหน้านี้เราไม่ใช่ยันไว้ ไม่ใช่กัดแล้วไม่ปล่อย กำลังต่อสู้ กำลังใช้ไหวพริบ กำลังต่อสู้กันจากภายนอก ทีนี้การต่อสู้มันต่อสู้มาหลายชั่วโมง มันต่อสู้มาหลายชั่วโมงแล้วมันเหนื่อย มันเหนื่อย เราเพลีย เราสู้ไม่ไหวแล้วเราก็พัก เลยยันไว้ไง”

ท่านบอกว่า “พอดีหลวงปู่มั่นท่านส่งจิตมาดูตอนนั้น หลวงปู่มั่นท่านส่งจิตมาดูตอนนั้น ตอนท่านพักงาน แต่ตอนที่ท่านทำงานหลวงปู่มั่นไม่ได้ส่งจิตมา ส่งจิตมาตอนท่านพัก”

พอขึ้นไปทำข้อวัตร “มหาปฏิบัติอย่างนี้หรือ? ปฏิบัติแบบหมากัดกัน”

นี่เรายกตัวอย่างว่าพระอรหันต์ท่านดูแลเราไหม? นี่ท่านดูแลอย่างนี้ ดูแลอย่างนี้จะดูแลเป็นความจริงนะ แต่ถ้าบอกว่าเวลาเราปฏิบัติกันแล้วมีส่งพลังงานมา สิ่งนี้ เห็นไหม นี่ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าการปฏิบัติเราต้องเข้มแข็ง เราต้องโตขึ้นมา ไม่ใช่การสะกดจิต ถ้าเป็นพลังงาน เป็นการบังคับมันเป็นการสะกด ถ้าเป็นการสะกดจิตเรา เราจะเป็น เราจะโตขึ้นมาไหม?

นี่เราไปเห็นนะ ว่านี่เขาส่งพลังงาน เหาะได้ด้วย อย่างนู้นได้ด้วย โธ่ เหาะเหินเดินฟ้านะ โยมไปสุวรรณภูมิสิ โยมจะไปไหนไปได้รอบโลก เดี๋ยวนี้นะโลว์คอสต์มันราคาไม่กี่สตางค์ด้วย นี่มันคนละเรื่องเลยล่ะ เราภาวนามาอย่างนั้นหรือ? นี่เขาไม่ได้ภาวนาเลยนะ ตอนนี้ดูสิสุวรรณภูมิปีละ ๔๐ ล้านคน เข้า-ออกน่ะ แล้วเขาพยายามจะขายเป็นปีละ ๖๐ ล้านคน นี้เฉพาะสุวรรณภูมินะ แล้วดอนเมืองล่ะ? แล้วสนามบินนานาชาติประเทศอื่นล่ะ? เขาจะเหาะเหินเดินฟ้า ปีหนึ่งกี่ร้อยล้านคน นี้พลังงานอย่างนี้มันมีประโยชน์ตรงไหน?

นี่บอกว่าเขาเหาะได้ด้วยนะ เขาเหาะได้แต่ไม่บ่อยนัก แล้วไปตื่นเต้นอะไรตรงนั้น? นี่เราจะบอกว่าถ้าเป็นฌานโลกีย์ เป็นไสยศาสตร์ เป็นเรื่องโลกนะ แต่พวกเราคนปฏิบัติ มันไม่มีพื้นฐานมันก็เชื่อเขาไปหมดแหละ เขาจะเหาะเหินเดินฟ้ามันเรื่องอะไร? เหาะเหินเดินฟ้า ฌานโลกีย์ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก แต่สมัยโบราณมันไม่มีเทคโนโลยี พอสิ่งนี้ปั๊บมันก็ดูเป็นเรื่องมหัศจรรย์ แต่เดี๋ยวนี้นะ แม้แต่การถ่ายหนัง การถ่ายหนังเขาใช้ลวดสลิงนะ เขาใช้สลิงดึงเหาะได้ทั้งนั้นแหละ แล้วเหาะมันเป็นประโยชน์อะไร?

นี่มันไม่เป็นประโยชน์กับการภาวนา มันไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่มรรค ไม่ใช่มรรคอันหนึ่งนะ อันที่สอง แล้วว่าถ้าครูบาอาจารย์ส่งพลังงานมา การสะกดจิตไม่มีประโยชน์ต่อสิ่งใด ไม่มีประโยชน์เลย ถ้าสะกดจิต การสะกดจิต พลังงานที่มันครอบงำกันคือการสะกด ถ้าการสะกดมันเป็นประโยชน์ไหม? ฉะนั้น เวลาเราคิดนี่นะ เวลาเราคิดนี่เราคิดได้ แต่เวลาผลที่มันให้มาเราจะรู้ได้อย่างไร?

นี่ไงอาจารย์ของเราดูแลเราอยู่ ดูแลให้เราโตขึ้นมา ดูแลให้เราภาวนาเป็น ดูแลให้เราเติบโต ให้เราก้าวเดินไปกันเอง ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปยอมจำนนอยู่อย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นต่อไปเราจะทำอะไรไม่ได้เลย ต้องรอพลังงานจากอาจารย์ แล้วก็แบ่งจากอาจารย์มา แล้วอาจารย์ก็ต้องมาครอบงำอยู่อย่างนั้น แล้วมันจะโตขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ?

คนแก่ห้ามตายนะ ต้องดูแลเด็กตลอดไป ไอ้เด็กก็โตไม่ได้นะ ต้องคุมกันไปอย่างนั้นไป มันเป็นไปไม่ได้หรอก เห็นไหม ดูทางชาติสิ เราฝากประเทศชาติไว้กับเด็กน้อย ไว้กับเยาวชน เยาวชนจะโตขึ้นมา เยาวชนต้องดูแลชาติต่อไป เยาวชนต้องทำต่อไป แล้วเราจะฝึกเยาวชนให้เขาเป็นตัวของเขาเองไหม? ให้เขาคิดเป็น ทำเป็น บริหารเป็น จัดการเป็น นั่นอย่างนั้นประเทศชาติมันจะเจริญ

ศาสนาก็เหมือนกัน ศาสนา เห็นไหม ศาสนทายาท ถ้าใครภาวนาเป็น นี่ภาวนาเป็นก็เหมือนหมอ ถ้ามีแต่โรงพยาบาล ไม่มีหมอเลยนะ โรงพยาบาลมันก็มีแต่ตึก ยามาใช้เป็นหรือไม่เป็นมันก็มั่วกันไปนั่นน่ะ แต่ถ้ามีโรงพยาบาลนะ มีหมอ ถ้าหมอรักษาได้นี่นะศาสนทายาท ถ้ามันเป็นขึ้นมามันเป็นประโยชน์

ฉะนั้น สิ่งที่บอกว่า

ถาม : ถ้าเขาถ่ายทอดพลังงานมา จิตมันจะลงได้เร็ว หลวงพ่อว่าอย่างไร?

ตอบ : หลวงพ่อไม่เชื่อ ยิ่งเห็นแล้วมันยิ่งสลดใจไง นี่เรื่องโลกๆ นะ ฉะนั้น ถ้าเป็นไปไม่ได้ เขาว่าถ้าเป็นไปไม่ได้ เขายืนยันว่าเขาเคยไปหาพระองค์หนึ่ง แล้วพระองค์หนึ่งเอานิ้วแตะเขา พอเอานิ้วแตะเขา นี่พลังงานนั้นมีอยู่ แล้วพลังงานนี้คืออะไร?

พลังงานของเรานะ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้นะ แต่ก่อนคนกราบภูเขา กราบเลากา กราบพระอาทิตย์ กราบพระจันทร์ กราบไฟ แต่เดี๋ยวนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว เวลาเรากราบไฟ กราบพระอาทิตย์กันเพราะถือผีไง ถือสิ่งมหัศจรรย์เพราะเราไม่มีศาสนา แต่ในเมื่อมีศาสนาแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้ว เวลาตรัสรู้ ตรัสรู้ที่ไหน? ตรัสรู้ที่ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาจากไหน? มาจากทศชาติ ๑๐ ชาติที่แล้ว แล้วก็ย้อนไปไม่มีต้น ไม่มีปลาย

บุพเพนิวาสานุสติญาณ ตั้งแต่เป็นพระโพธิสัตว์ขึ้นมากี่ภพ กี่ชาติ กี่ภพ กี่ชาติ นี่เวียนตายเวียนเกิดมาจนสร้างสมบารมีเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาตรัสรู้ขึ้นมา จิตนี้มันไม่ไปเกิดอีก เห็นไหม จิตที่ก่อนจะเกิดเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันได้สร้างบุญกุศลของมันมา มันได้สร้างมา เป็นพระเวสสันดร เป็นพระเจ้าสุวรรณสาม เลี้ยงพ่อ เลี้ยงแม่มา นี่บารมี ๑๐ ทัศ ศรัทธาบารมี ขันติบารมี ทานบารมี มีมาพร้อมหมด

ทานบารมี เห็นไหม ดูสิเป็นพระเวสสันดร นี่สละทานมาทั่ว สิ่งนี้สร้างมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ พอเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ตรัสรู้ธรรมขึ้นมานี่รู้แล้ว สิ่งที่รู้แล้ว จิตดวงนี้เคยเกิด เคยตาย เวียนเกิดเวียนตายมากี่ชาติล่ะ? ทีนี้เวียนตายมากี่ชาติ เวลาเกิดเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าใจสิ่งนี้หมด ถ้าเข้าใจสิ่งนี้หมด นี่พลังงานมันอยู่ที่ไหนล่ะ? พลังงาน ถ้าเรายังไม่ถึงสิ้นกิเลสแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าคนที่รัก คนที่ชอบใจ คนที่มีบุญคุณต่อเราตายไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่า “อย่าเสียใจ อย่าร้องไห้ อย่าคร่ำครวญ สิ่งที่คนที่ตายไปแล้วเขาหมดอายุขัยของเขา ให้ทำคุณงามความดี” เห็นไหม นี่เราทำบุญกุศลอุทิศให้ เรานั่งสมาธิ ภาวนา เราอุทิศส่วนกุศล นี่ไงพลังงาน พลังงานไปไหน? เวลาเราอุทิศส่วนกุศล เรารำลึกถึง นี่ใจถึงใจไง

ใจมันถึงใจใช่ไหม? ความรู้สึกนึกคิดของเรา ความรู้สึกนี่พลังงานไหม? พลังงานที่มีอยู่ พลังงานของเขาคือกำลัง คือการเหาะเหินเดินฟ้า นี่เวลาจิตมันส่งออก ส่งออกไปไหน? ส่งออกไปที่ความคิด ความคิดมันเป็นความผูกพัน ความผูกพัน นี่พลังงานก็มาจากตรงนี้ไง ถ้าพลังงานมันส่งออก เห็นไหม อุทิศส่วนกุศลก็คือพลังงานไง นี่พลังงานของใจ ใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งไง ถ้าใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง นี่พลังงานอยู่ที่นี่ ถ้าพลังงานอยู่ที่นี่เราแผ่ออกไป เราเมตตาแผ่ออกไป ถ้าแผ่ออกไปใครได้รับสิ่งนั้น?

นี่พลังงานเป็นแบบนี้ ไม่ใช่พลังงานจะมาควบคุมให้จิตสงบ ควบคุมให้จิตมันดี ทำให้อุ้มคนนั้นเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้หรอก ถ้ามันจะเป็นไป เดี๋ยวยังมีอีกข้อหนึ่งเหมือนอย่างนี้เลย นี่สิ่งที่อย่างนี้มันก็เป็นอย่างนี้ นี่เข้าใจนะ

ถาม : หลวงพ่อคิดว่าตอนนี้ยังมีพลังงานคงยังอยู่หรือไม่? สำหรับโยมคิดว่ายังอยู่นะ หรือว่าโยมคิดไปเอง

ตอบ : พลังงานก็คือตัวใจ ถ้าตัวใจมันมีของมันนะ ความเป็นอยู่นี่พลังงาน พลังงานของคนไม่เท่ากัน กำลังของคนไม่เท่ากัน กำลังของคนไม่เท่ากัน มันมากกว่านั้นอีก ถ้ามันมาก ดูสิเวลาพระอรหันต์เอตทัคคะ ๘๐ องค์ นี่มันไม่เหมือนกัน ความเหมือนกันมันเป็นไปไม่ได้

ฉะนั้น พลังงานสิ่งนั้นมีไหม? มี มี นิพพานมีอยู่ ทุกอย่างมีอยู่ แต่มีแบบนิพพาน มีแบบ มีเหมือนไม่มี ไม่มีเหมือนมี แต่ไม่ใช่มีแบบสมมุติ มีแบบสมมุติเป็นวัตถุที่จับต้อง ที่พิสูจน์ แล้วถ้าสมมุติอย่างนี้ นี่สมมุติบัญญัติ ทีนี้สมมุติก็เป็นอนิจจัง นี่มันก็ซ้อนกันไป พูดไปพูดมายิ่งจะงงเข้าไปใหญ่เนาะ ฉะนั้น ปัญหานี้จบ เพราะเราว่าปัญหานี้เป็นปัญหาเหมือนสะกดจิต คำถามนะ

ถาม : ข้อ ๘๑๓. เรื่อง “พลังงานของพระอรหันต์ส่งให้ผู้อื่นแล้วมีผลเกิดขึ้นหรือไม่? แล้วคงอยู่นานหรือไม่?”

ตอบ : นี่พูดถึงพวกอภิญญา นี่พวกชอบฤทธิ์ ชอบเดช จบ

ข้อ ๘๑๔. ไม่มีเนาะ

ถาม : ข้อ ๘๑๕. เรื่อง “ธรรมะเหนือธรรมชาติเพราะเป็นวัฏฏะ หรือธรรมะคือธรรมดาเป็นธรรมชาติ”

ตอบ : นี่คำถามเขาเนาะ

“ธรรมะเหนือธรรมชาติเพราะเป็นวัฏฏะ” กับ “ธรรมะคือธรรมดาเป็นธรรมชาติ”

นี่คือความสงสัยของเขา เขาเขียนมา เสร็จแล้วเขาก็เขียนมายกเลิกว่าเขาเข้าใจแล้วแหละ เพราะเขาเข้าไปดูในหนังสือ หนังสือของเราที่แจกไป แล้วจบ ฉะนั้น ไอ้กรณีอย่างนี้ ถ้าพูดถึงกรณีธรรมะเหนือธรรมชาติเราก็พูดไว้แล้ว แล้วพูดไว้เยอะมาก ถ้าใครสงสัยให้รื้อค้นของเก่าๆ เอาก็แล้วกัน ถ้าตอบอีกมันก็เรื่องยาว แต่คนฟังนะ คนฟังหลายรอบมันก็ไม่มีรสชาติเลย ฉะนั้น อันนี้ผ่าน

คำถามถามแปลกด้วยนะ บอกว่า

“ธรรมะเหนือธรรมชาติเพราะเป็นวัฏฏะ” กับ “ธรรมะคือธรรมดาเป็นธรรมชาติ”

เขาว่าของเขาอย่างนั้นนะ นี่คือความเข้าใจไง ความเข้าใจนี่ก็สมมุติอันหนึ่ง แต่เข้าใจแล้ว เพราะเขาอีเมล์ต่อมาว่าอันนี้ขอยกเลิก เพราะเข้าใจแล้ว

อันนี้ต่อแล้ว ข้อ ๘๑๖.

ถาม : ข้อ ๘๑๖. เรื่อง “ความเป็นไปของการสอบธรรมะภายในของครูบาอาจารย์” (อันนี้มาจากคนไกลบ้านนะ แล้วไกลมากด้วย)

ขอนมัสการยังหลวงพ่อ ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง มีพระองค์หนึ่ง ในพรรษาหนึ่ง ขณะภาวนาในถ้ำ ได้นิมิตเห็นพระผู้เฒ่ารูปหนึ่ง มาสอนในสมาธิเกี่ยวกับหลักการพิจารณาไตรลักษณ์ ต่อมาจึงทราบว่าพระองค์นั้นคือ (เขาบอกมีหนังสือเขียนถึง เขาพูดว่ามีหนังสือเขียนถึงในงานศพของท่าน)

จากเรื่องนี้โยมขอกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า หากจิตเราสงบลงแล้ว ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ไปสอนในสมาธิได้ทุกองค์หรือไม่? หากเป็นจริงแล้วจะได้ไม่ต้องดั้นด้นไปหาครูบาอาจารย์ กราบขอบพระคุณหลวงพ่อ

ตอบ : นี่การสอนนะ การที่ว่าพระที่ครูบาอาจารย์ได้สอนกัน ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสารีบุตรได้ฟังเทศน์พระอัสสชิเป็นพระโสดาบัน พระสารีบุตรไปบอกพระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะได้ฟังธรรมของพระอัสสชิผ่านพระสารีบุตร เป็นพระโสดาบันด้วยกัน พอเป็นพระโสดาบันด้วยกันไปชวนอาจารย์ของตัว อาจารย์ของตัวคือสัญชัย ชวนอาจารย์ของตัวให้ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัญชัยไม่ไป สัญชัยถามพระสารีบุตรว่า

“ในโลกนี้มีคนโง่มาก หรือมีคนฉลาดมาก?”

พระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะบอกว่า “ในโลกนี้มีคนโง่มากกว่าคนฉลาดเยอะแยะมาก”

ฉะนั้น สัญชัยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นเธอไปหาพระพุทธเจ้าเถิด เพราะว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา เราจะอยู่กับคนโง่ เพราะคนที่ฉลาด คนที่เข้าถึงศาสนาพุทธได้นี่น้อยมาก แต่คนที่เข้าไม่ถึง คนที่มีเหตุผลโต้แย้ง คนที่คิดว่าตัวเองฉลาด ตัวเองมีปัญญานี่เยอะแยะไปหมดเลย เราจะอยู่กับคนประเภทนั้น”

ทีนี้สัญชัยไม่ไป พระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะถึงไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปขอบวช แล้วเร่งภาวนา พอเร่งภาวนา พระโมคคัลลานะเวลานั่งสัปหงกโงกง่วง เห็นไหม ด้วยสัปหงกโงกง่วงนี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาโดยฤทธิ์ คำว่ามาโดยฤทธิ์ นี่ยกให้เห็นว่ามาโดยฤทธิ์ นี้เขาบอกว่า

ถาม : เวลาภาวนา ครูบาอาจารย์ท่านสอนด้วยสมาธิได้ไหม?

ตอบ : ครูบาอาจารย์สอนด้วยสมาธิ เวลาส่งสมาธิ เช่นอย่างหลวงตา อย่างครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่มั่นท่านรู้หมดนะ แต่เวลาท่านส่งมา เห็นไหม หลวงตา นี่มีพระองค์หนึ่งไปอยู่กับหลวงปู่มั่น แล้วเห็นหลวงปู่มั่นเก็บเกลือ เก็บเกลือหรือเก็บอะไร บอกไว้เก็บเกลือหรือเก็บอาหารไว้นะ เพราะเห็นปั๊บมันก็ติดในใจ

“เอ๊ะ เขาก็ร่ำลือกันทั่วประเทศไทยว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ ทำไมหลวงปู่มั่นมาทำอย่างนี้? เอ๊ะ หลวงปู่มั่นเป็นอาบัติ”

ก็คิดอยู่อย่างนั้นแหละ นี่หลวงปู่มั่น ตอนกลางคืนนะท่านภาวนาของท่าน ท่านจะเช็คลูกศิษย์ท่านหมด พอเช็คลูกศิษย์ท่าน ท่านก็เห็นพระองค์นี้คิดอย่างนี้อยู่ พอคิดอย่างนี้อยู่ พอเช้าขึ้นมาท่านก็บอกเลย

“ไอ้พระองค์ไหนมันเก่งนัก มันเห็นว่าผู้เฒ่านี้มันโง่”

ทั้งๆ ที่ท่านรู้แล้วว่าองค์ไหนนะ แต่ท่านจะขนาบไง แต่ท่านจะขนาบหมายถึงว่าให้พระองค์นั้นได้มีสติไง แต่ท่านไม่ระบุชื่อนะ พระองค์นั้น ใครเป็นคนคิดคนนั้นต้องรู้ใช่ไหม? ใครเป็นคนคิด

“ไอ้พระองค์ไหนมันฉลาดนัก มันว่าผู้เฒ่านี้โง่นัก ผู้เฒ่าไม่รู้เรื่อง ผู้เฒ่า เดี๋ยวคืนนี้จะเอาอีก เดี๋ยวนี้จะเอาให้ชัดๆ”

คืนนี้เอาให้ชัดๆ นะ ขู่พระองค์นั้นไว้ก่อน ขู่พระองค์นั้น พระองค์นั้นก็หนาวเลย หนาวสั่นเลย นี่ตัวเองคิด เห็นไหม ทีนี้พอตัวเองคิด พอรุ่งขึ้น พอท่านบอกคืนนี้จะเอาอีก ฉะนั้น พระก็ถามกันว่าใครๆๆ นี่หลวงตาท่านเล่าเอง เล่าประจำ เรื่องนี้เล่าบ่อย เล่าหลายรอบด้วย พอใครๆๆ พอถามไปเจอตัวก็ว่า

“ผมคิดเองแหละ”

“คิดเรื่องอะไรล่ะ?”

“อ้าว ก็ของมันเป็นสันนิธิ เก็บไว้กินแรมคืนได้อย่างไร?”

นี่โดยตำราไง สิ่งที่ได้มา อย่างเช่นของนี่นะ อยู่ในถุงพลาสติกใส่บาตรมา ใส่บาตรมาตอนเช้าเป็นอาหาร แต่ถ้ามันไม่คลุกกัน เขาเรียกว่ามันไม่ระคนกัน ถ้าเราจะแยกไว้ให้ไปฉันตอนบ่ายก็ได้ นี่มันมีไง แต่ถ้ามันระคนกันแล้ว อย่างเช่นระคนกัน เป็นอาหารชิ้นเดียวกันแล้วมันแยกไม่ได้ อย่างนี้ต้องถือว่าเป็นอาหาร แต่ถ้ามันใส่มา เรามีภาชนะอยู่ มันแยกกัน ไม่ระคนกัน เราเก็บแยกได้ เพราะมันอยู่ที่เจตนาของเรา

ฉะนั้น พระองค์นั้นก็ตีเหมาหมดเลยว่าเป็นตอนเช้าแล้ว มันก็ต้องฉันตอนเช้าหมดเลย จะแยกไม่ได้ ฉะนั้น ท่านบอกเดี๋ยวคืนนี้เอาอีก คืนนี้เอาอีก พอพระเขาไปคุยกัน พอคุยกันเสร็จพระองค์นั้นก็มากราบขอขมาไง พอกราบขอขมาก็จบ ทีนี้พอจบ นี่จิตเวลามันส่งไป พระอรหันต์ส่งสอนกัน เราจะบอกว่าอย่างนี้ไง ระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก จิตมันไม่เท่ากันหรอก จิตของเราจะรับรู้ในสมาธิหรือ? แต่จิตของครูบาอาจารย์ท่านเหนือ ท่านมาได้หมดแหละ แต่จิตของเรา เราจะสื่อในสมาธิได้ไหม? นี่เขาบอกสอนในสมาธิไง

สอนในสมาธินี่นะ มีครูบาอาจารย์เยอะมากที่แบบเวลาครูบาอาจารย์มาสอน เช่นถ้าเราใช้ปัญญาอยู่นะ แต่ปัญญานี่เป็นทางสองแพร่ง หรือเราวินิจฉัยว่าเราควรจะไปทางไหน อย่างเช่นเราใช้ปัญญาอยู่นี่อะไรผิด อะไรถูกเราพิจารณาอยู่ ถ้าเราตัดสินใจอยู่ นี่อย่างนี้ได้ อย่างนี้ท่านจะมาแล้วบอกอันนี้ถูก อันนี้ถูก เพราะเราถูกอยู่ แต่ถ้าจะคุยกันสืบต่อ สืบเนื่องนี่นะมันต้องจิตของลูกศิษย์ จิตของผู้ที่รับมันต้องมีกำลัง แล้วมันต้องรู้ได้ด้วย มันไม่ใช่ว่าทุกๆ คน

นี่บอกว่า

ถาม : พระอรหันต์จะมาสอนในสมาธิทุกองค์ได้ไหม?

ตอบ : เวลาครูบาอาจารย์ จิตที่สูงกว่าในสมาธิท่านตรวจเช็คได้หมด แล้วเวลาท่านพูด ท่านบอกนี่นะ เวลาท่านพูด ท่านบอก เราเข้าสมาธิรับไหม? เราเข้าสมาธิเราก็นั่งหลับไง เราก็นั่งสัปหงกอยู่เลยนะ อาจารย์ก็ส่งมาบอก ไอ้นี่ก็สัปหงก แล้วไอ้คนบอกกับไอ้คนสัปหงกมันจะรู้กันไหม? ไอ้คนนี้นั่งสัปหงกเลย อู๋ย แหม หัวนี่ส่ายเลยนะ อาจารย์ก็บอกว่านี่มันผิดนะ ผิดนะ มันหัวส่าย ตื่นขึ้นมาบอก เออ นิพพานๆ

กรณีอย่างนี้นะมันแบบว่าประมวลผล เครื่องประมวลผลของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน แต่ที่มันตรงกันได้มีไหม? มี มี แต่ความรู้สึกนึกคิดของคนมันแตกต่างกันมาก พอมันแตกต่างกันมาก สิ่งที่จะเป็นอย่างนี้ นี่สิ่งที่เป็นอาจารย์นะส่วนใหญ่จะประมวลผล แล้วจะใช้อุบาย จะใช้อุบายนะ อุบายบอกกล่าว เราสังเกตได้มากเวลาคนเราตีขลุม ตีขลุมกันเยอะมาก ตอนที่หลวงตาท่านยังมีชีวิตอยู่ นักปฏิบัติทุกคนเลยบอกว่า “ไปหาหลวงตามาแล้ว หลวงตารับประกัน”

เราก็ถาม “รับประกันอย่างไร?”

ท่านบอกว่า “ก็ไปนั่งที่ศาลาไง พอหลวงตาท่านเทศน์ก็นึกถามในใจ หลวงตาเทศน์มาเพี๊ยะ เพี๊ยะทุกข้อเลย”

ตีขลุมกันไปอย่างนั้นเอง หลวงตาท่านก็เทศน์ของท่านเป็นธรรมะ แต่ไอ้พวกไปตีขลุมคือไม่จริงไง ถ้าจริงนะต้องถาม ต้องเข้าไปคุยกับท่านว่าสิ่งใดเป็นธรรม ท่านจะพูดบ่อย มันไม่คุยกับเรา ไม่คุยกับเรา ถ้าคุยกับเรานะ แล้วพระจะกลัวตรงนี้ ถ้าคุยกับเรานะมันก็เหมือนพนักงานสอบสวน ถ้าลองได้สอบสวนแล้วมันมีเอกสารใช่ไหม?

อย่างเช่นพนักงานสอบสวน เวลาเขาฟ้องเขาฟ้องตามสำนวน สำนวนนั้นจะยื่นเข้าไป ยื่นเข้าไปที่อัยการ อัยการยื่นไปที่ศาล ทุกอย่างมันมีไว้พร้อมไง นี่ก็เหมือนกัน เวลาคุยธรรมะ พอเข้าไปมันก็เหมือนการสอบสวน มันเก็บหลักฐานแล้ว ตายนะ ตาย นี่ศาลตัดสินจากไหน? ศาลตัดสินตามสำนวนนั้น นี่ก็เหมือนกัน เวลาเข้าไปใกล้นี่เสร็จ ถ้าหลวงตาได้คุยแล้ว เรานี่นะ เราคุยเรื่องอย่างนี้กับใครมันก็จบ เรารู้อยู่แล้วว่ามันเป็นอย่างไร

ฉะนั้น จะบอกว่า นี่เขาเขียนเลย เขียนถึงพระหลายองค์ ว่าองค์นั้นไปสอนองค์นั้น องค์นี้ไปสอนองค์นี้ เขียนเป็นหนังสือเลย เวลาเราฟังคำพูด หรือฟังผู้ใหญ่พูด เห็นไหม “นกก้าวขา” เขาบอกว่าเห็นนกมันเดินก้าวขา ไอ้คนฟังก็บอกว่านกมี ๙ ขา แล้วมันต่อไปเรื่อยๆ

นี่ก็เหมือนกัน หนังสือที่เขียนนี่นะ เวลาเขียนในประวัติของใคร อ่านแล้วเราจะวินิจฉัยว่ามันเป็นได้หรือเป็นไปไม่ได้ ยิ่งหนังสือเดี๋ยวนี้นะ ในวงการที่เป็นนิตยสารเขาจะหา หาพระองค์ใดก็ได้ที่ว่าสงบเสงี่ยมหน่อย แล้วไม่ต้องพูดสิ่งใดนะ แล้วเขาจะมีทีมงานของเขาเขียนประวัติออกมา โอ้โฮ ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าอีก แล้วก็เป็นไปทางโลก แล้วก็เชื่อกันไป นี่เป็นอย่างนั้นก็มี เราเชื่อได้อย่างใด? เราเชื่อได้อย่างใด?

เอกสารที่ว่าเป็นเอกสาร ที่ว่าหนังสือเขียนๆ มันมีนะ ฉะนั้น สิ่งที่เขียนเราอ่านแล้วเราต้องวินิจฉัย เราต้องมาพิจารณาของเราว่าจริงหรือไม่จริง? ถ้ามันจริงมันจริงอย่างไร? ฉะนั้น สิ่งที่ทางโลก พวกอภิญญาเขาคิดไปอย่างหนึ่ง เขาคิดของเขาไปอย่างหนึ่งนะ แต่ถ้าเวลาปฏิบัติไปแล้ว เห็นไหม เราต้องจริงของเรา จิตเป็นสมาธิไหม? ถ้าจิตเป็นสมาธิ พอจิตเป็นสมาธิออกใช้ปัญญาอย่างที่ว่า นี่สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญาก็เกิดภาวนาขึ้นมา เกิดปัญญาขึ้นมา มรรคมันเป็นอย่างไร?

แล้วยิ่งสมัยปัจจุบันนี้มันมีครูบาอาจารย์อยู่ไง อย่างเช่นในกรรมฐานเรามันมีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เราศึกษามาเยอะนะ สมัยหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น แล้วครูบาอาจารย์รุ่นรองลงมา แล้วมันแบบกองทัพธรรม พอกองทัพธรรมมันสร้างประโยชน์กับประเทศไทยอย่างใด? มันสร้างประโยชน์กับประเทศไทยนะ อย่างเช่นเมื่อก่อนนะ เมืองไทยสมัยครูบาอาจารย์เรายังไม่มีถนน เราไปอีสานนะ เส้นทางสายอุดรฯ กับสกลฯ ยังเป็นลูกรังอยู่

สมัยโบราณนะ สมัยก่อนหน้านั้นนะ ทางอีสานนี่ถนนหนทางมันไม่มี แล้วพอจะไปทางไหนมันจะเป็นป่าไปหมดนะ พอเป็นป่าไป ชาวบ้านเขาไปทำกินมันจะไปเจอสถานที่แรงๆ เจ็บไข้ได้ป่วยกันเต็มไปหมดเลย แล้วครูบาอาจารย์เราเข้าไปนะ เขาจะนิมนต์ครูบาอาจารย์เข้าไป ที่ไหนนะถ้าเป็นที่แรง จะนิมนต์ครูบาอาจารย์ แล้วตอนนี้ใครไปสกลฯ นะ ไปแถวพวกบ้านโคกสิ เราไปมา เขาบอกว่า “หลวงปู่กงมาเป็นเศรษฐีที่ดิน หลวงปู่กงมาเป็นเศรษฐีที่ดิน”

เราก็งงอยู่นะ ไปถามชาวบ้านว่า “ทำไมเป็นเศรษฐีที่ดินล่ะ?”

เขาบอกว่า “ตรงไหนนะ ถ้าเขาอยู่ไม่ได้ก็ถวายหลวงปู่กงมา ตรงไหนอยู่ไม่ได้ก็ถวายหลวงปู่กงมา” หลวงปู่กงมานี่ที่แถวนั้นเยอะมาก เป็นของหลวงปู่กงมาทั้งนั้นเลย เขาอยู่ไม่ได้ไง พออยู่แล้วมันเจ็บไข้ได้ป่วย จนตายนะ จนเขาหนีกัน เขาอยู่กันไม่ได้

นี่เราจะบอกว่าสมัยกองทัพธรรมคนยังถือผี พอคนถือผี เขาก็ถือว่าถือผี กลัวผี แล้วผีนี่ให้โทษ ให้คุณ ฉะนั้น เวลาเขาไปทำกินที่ไหนเขาจะนิมนต์พระ เขาต้องหาพระไปเป็นขวัญ เป็นกำลังใจ แล้วถ้าพระที่ไหนเป็นขวัญ เป็นกำลังใจ จะไปช่วยคุ้มครองดูแลเขา ดูแลเขา เห็นไหม ให้เขาเห็นว่าถ้าเราถึงรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผีนี่เขาจะได้ส่วนบุญจากเรา เขาจะไม่ทำร้ายเรา นี่มันมีกรณีอย่างนี้ขึ้นมา กรณีกรรมฐานนี่นะได้ทำสิ่งนี้มา ได้เปลี่ยนสังคมไทย สังคมที่ถือพุทธแต่ถือผีด้วย ให้เปลี่ยนมาเป็นถือพุทธทั้งหมดนี่เยอะมาก

สมัยที่กองทัพธรรมทำประโยชน์กับประเทศชาติไม่มีใครคิดอย่างนั้นไง ฉะนั้น พอทำอย่างนี้มา อันนั้นเป็นข้อเท็จจริง เป็นเนื้อหาสาระ ไม่ใช่หนังสือประวัติ ไม่ใช่เขียนกันว่าต้องจิตสู่จิต นั่นมันเป็นผลงานที่ทำกับสังคม แล้วสังคมเขารู้ เขาเห็น เขาสัมผัสได้ กับที่ว่าพอสังคมมีความเชื่อถือแล้ว มาเขียนหนังสือบอกว่าองค์นั้นสอนทำสมาธิอย่างนั้น องค์นั้นเป็นพระวิเศษอย่างนั้น มีคุณสมบัติอย่างนั้น แต่ทำประโยชน์กับประเทศชาติ ทำประโยชน์กับศาสนา ทำประโยชน์กับสังคมอะไรบ้าง?

นี่ไงสิ่งที่ทำมา เขาทำประโยชน์กับสังคมนะ ความร่มเย็นเป็นสุขของสังคม ฉะนั้น

ถาม : จากเรื่องที่โยมเล่ามาให้หลวงพ่อฟัง ว่าจิตนี่เวลามันสงบแล้ว แล้วครูบาอาจารย์ท่านสอนกัน มีความเห็นอย่างใด?

ตอบ : ถ้าครูบาอาจารย์สอนกันนะ สอนในสมาธิ ไอ้นี่มันเขียนเป็นหนังสือ แล้วถ้าคนเชื่อก็เชื่อ สอนในสมาธิ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเขาจะได้ไม่ต้องไปหาครูบาอาจารย์ไง เขาจะให้ส่งไปสอน อย่างที่ว่านี่ เวลาครูบาอาจารย์ก็ส่งจิตไปสอนแล้ว เอ็งยังนอนไม่ตื่นเลย เวลาส่งมาเอ็งก็กำลังนอนหลับ เวลาเอ็งกำลังทุกข์อยู่ อาจารย์ก็ไม่มีจิตส่งไป โอ้โฮ เอ็งทุกข์ตายเลยเนาะ ส่งไปทีไรก็กำลังคร่อก คร่อก เอ๊ะ แล้วเราจะส่งจิตอย่างไรจะให้เอ็งตื่นขึ้นมาล่ะ? แล้วพอเวลาเอ็งภาวนา เอ็งกำลังตื่นขึ้นมา เอ็งกำลังปั่นป่วนในหัวใจเลย อาจารย์ก็ไม่มีเวลาส่งเพราะงานเยอะ ก็เลยมั่วกันอยู่

ฉะนั้น กรณีอย่างนี้เขาเรียกว่า “อวดอุตตริมนุสสธรรม” ธรรมที่เหนือมนุษย์มันมีของมันนะ แต่ถ้าเราขวนขวาย เราไม่มักง่าย ความมักง่าย เห็นไหม ความมักง่าย แล้วเราคิดว่าสิ่งนั้นเป็นจริง สิ่งนั้นเป็นจริง มันก็ไปเข้าสู่ความที่ไม่จริง แต่ถ้าเราไม่มักง่ายนะ ถ้าเราทำจริงของเรา เราเป็นของเราขึ้นมานะ แล้วถ้าจิตมันเป็นขึ้นมาเราจะรู้ผลของเราได้

ฉะนั้น เพราะคำถามว่าหลวงพ่อเชื่อไหมไง นี่เรื่องความมหัศจรรย์ของจิตนี่นะ แล้วจิตที่ว่าครูบาอาจารย์ที่มีฤทธิ์ มีเดชนี่เราเชื่อ แต่การทำประโยชน์มันต้องอยู่ที่ว่าผู้รับประโยชน์ไง สังเกตได้ไหม อย่างเช่นในหลวง โครงการพระราชดำริต้องการให้ประชาชนมีความร่มเย็นเป็นสุข ต้องการให้ประชาชนมีอยู่ มีกิน พยายามเผยแผ่อยู่นี่ เห็นไหม แล้วคนที่ได้รับประโยชน์จากในหลวง จากเจ้าของประเทศที่ให้เรามีที่ทำกิน ทุกอย่างทำกิน แล้วเวลาเขาไม่พอใจ นี่เขายังคิดอย่างไรกับในหลวงล่ะ? นี่ไงแม้แต่ให้อย่างเดียว เขายังคิดของเขาเลยว่ามันเป็นอย่างไร?

ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติ เห็นไหม ท่านก็อยากให้เป็นอย่างนั้นแหละ แต่ แต่คนถ้ามีกิเลสอยู่ ๑. ไม่เชื่อ ๒. เป็นไปไม่ได้ ๓. มีความโต้แย้งในใจ นี่มันมีอีกร้อยแปด แต่ถ้าเราเชื่อ อย่างเช่นเราเห็นว่าโครงการพระราชดำริให้อาชีพ ให้ทุกอย่างกับประชาชน เราเห็นว่าอย่างไรล่ะ? เราก็เห็นด้วย เราเห็นด้วยนะ แต่ถ้าเราทำกินได้ เรามีปัญญาของเรา เราก็อยากจะช่วยเหลือสังคม นี่จิตใจของคนมันแตกต่างหลากหลาย ไม่ใช่ส่งไปแล้ว ไอ้อย่างนี้มันก็เหมือนเลเซอร์ไง คนไข้มาก็เลเซอร์ผ่าตัด มันก็ตัดได้ทุกคน

นี่ก็เหมือนกัน พอจิตมันเป็นธรรมแล้ว พระพุทธเจ้าก็ต้องสอนได้หมดสิ นี่ส่งจิตไปแก้กิเลสได้หมดสิ มันไม่ใช่แสงเลเซอร์นะ แสงเลเซอร์มันผ่าตัดร่างกายนะ แสงเลเซอร์ผ่าตัดกิเลสมันไม่มี เพราะกิเลสเป็นนามธรรม ฉะนั้น สิ่งที่มันจะเกิดขึ้น มันจะเกิดมรรคญาณในหัวใจนั้น ถ้าหัวใจนั้นมันเป็นประโยชน์ มันก็จะเป็นประโยชน์ขึ้นมา

นี้พูดให้เห็นนะ พูดให้เห็นว่าเราเชื่อเรื่องคุณธรรมในหัวใจของพระอรหันต์ไหม? เชื่อ! เชื่อ! แต่จะทำอย่างนั้นได้ไหม? มันก็ต้องมี นี่ครูบาอาจารย์องค์นั้นท่านต้องมีอำนาจวาสนาบารมี อำนาจวาสนาบารมี เห็นไหม ดูสิเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโมคคัลลานะมีฤทธิ์มากๆ เลย แต่เวลาพระโมคคัลลานะมีปัญหาสิ่งใด ต้องไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมเป็นอย่างนั้นๆ นี่มันมีไม่เท่ากัน แล้วองค์ที่แบบว่าเวลาแก้กิเลสได้มันก็เป็นไปนะ

นี่เวลาแก้กิเลสได้ เวลาสุกขวิปัสสโกแก้กิเลสได้เฉยๆ ก็มีเยอะแยะไป นี่ถ้ามีเยอะแยะไปอย่างนั้น สิ่งที่ว่าแล้วจะส่งให้ได้เหมือนกันไหม? จะสอนได้ไหม? ฉะนั้น เวลาเราเกิดมาในปัจจุบันนี้ เรามีหลวงปู่มั่นนี่สุดยอดแล้วแหละ เพราะหลวงปู่มั่นแก้ไขครูบาอาจารย์มา เป็นพระอรหันต์ เป็นหลักชัยในกรรมฐานเรา กองทัพธรรมๆ กองทัพธรรมนี่นะได้ช่วยประเทศชาติ ช่วยโลกไว้นี่เยอะ แต่เป็นการปิดทองก้นพระ

อย่างเช่นในปัจจุบันนี้ เขาบอกเขาทำพระธุดงค์กัน เขาธุดงค์กัน เห็นไหม เขาธุดงค์นะ แล้วก็เอาดอกไม้โรยกัน นั่นธุดงค์อะไรน่ะ? นั่นธุดงค์อะไร? ธุดงค์คือถือผ้า ๓ ผืน ฉันอาสนะเดียว ฉันมื้อเดียว บิณฑบาตเป็นวัตร ธุดงค์ ๑๓ นั่นน่ะทำหรือเปล่า? ไอ้นี่แบกกลดแล้วก็เดินกันโท่งๆ โท่งๆ ทำอะไรกันน่ะ? ธุงควัตรมันคืออะไร? พระธุดงค์เขาถือธุดงควัตร เขาไม่ใช่มาเดินกลางตลาด ไอ้นี่มันคณะลูกเสือ นี่ลูกเสือชาวบ้านเขากำลังเดินขบวนกัน ถ้าธุดงค์ ธุดงควัตร ๑๓ มันคืออะไร? นั่งตลอดรุ่งไหม? เนสัชชิกน่ะ นั่งหลังไม่แตะพื้น นั่งตลอดรุ่ง

นี่เวลาเขาทำประโยชน์มันก็ส่วนทำประโยชน์ แต่เวลาเพื่อการประชาสัมพันธ์เพื่อทางโลกนั้นไปอีกเรื่องหนึ่งนะ ฉะนั้น ถามว่าเราเชื่อไหมที่พระอรหันต์ทำได้ เชื่อ เชื่อที่ว่าพระอรหันต์ที่มีกำลัง ที่มีอำนาจวาสนาบารมี ที่เป็นหลักชัยในกรรมฐานของเรา แต่ถ้าเป็นกรณีทั่วไปนะมันเป็นเรื่องโลกๆ ไปเยอะไง ฉะนั้น ถ้าบอกว่าเชื่อแล้วยืนยันว่าเป็นจริงๆ ฉะนั้น สัพเพเหระมันก็เป็นอย่างนั้นหมดเลย แล้วมันก็ไหลไปตามโลกนะ โลกจะไหลไปอย่างนั้นแหละ กลายเป็นเรื่องตลกนะ กลายเป็นเรื่องตลก เรื่องขำขันไป

ถ้าเรื่องตลก เรื่องขำขันไปมันไม่ใช่ธรรมะหรอก ธรรมะต้องเป็นความจริงสิ ถ้าธรรมะเป็นความจริงนะ คนที่มีสติ คนที่มีปัญญาได้เขาต้องมีสติ เขาต้องมีสมาธิ คนมีสติ คนมีสมาธิจะพูดจาอย่างนั้นไหม? คนมีสติ คนมีสมาธิ คนมีปัญญาจะทำตัวอย่างนั้นไหม? คนมีสติ คนมีสมาธิ คนมีปัญญาจะแก้กิเลส จะสัพเพเหระไหม? มันขัดแย้งกัน มันขัดแย้งกันเต็มที่เลย คนที่มีสติ มีปัญญา การเคลื่อนไหวเขาดูออกนะ การก้าว การเดินจะรู้เลยว่าคนนั้นมีสติจริงหรือเปล่า แล้วคนนั้นจะมีปัญญาจริงหรือเปล่า? แล้วเขาจะฆ่ากิเลสของเขาได้หรือเปล่า? เขาจะเห็นโทษของเขา แล้วมันจะเป็นประโยชน์ของเขา คือเราต้องทำอย่างนี้จริงๆ

ฉะนั้น สิ่งที่คำถามนี่เขาบอกว่า

ถาม : ถ้าเป็นจริงแล้วเขาจะได้ไม่ต้องไปหาครูบาอาจารย์ ให้ส่งจิตมาเลย

ตอบ : นี่แสดงว่ามีอาจารย์จะส่งจิตไปอยู่แล้วแหละ แต่ก็ยังสงสัยอยู่ เขาถามเราก่อนไง ถ้าเป็นอย่างนั้น นี่อาจารย์ที่ส่งจิตไปสอนที่บ้านคงเยอะนะ ต่อไปจะมีอาจารย์พิเศษ รับสอนจิตทางบ้าน (หัวเราะ) ต่อไปจะมีอาจารย์พิเศษนะสอนถึงบ้าน แล้วเดี๋ยวจะแก้กิเลสให้ถึงในมุ้งเลย

โฮ้ เราทำของเราเองนะ ในห้องนอนแล้วปฏิบัติได้ ในห้องนอนของเรา นี่เราปฏิบัติของเรา เราทำของเรา เวลามันเกิดมรรค เกิดผลมันจะเกิดกับเรา ปัจจัตตังรู้จำเพาะตน แล้วจะเป็นประโยชน์กับตน ฉะนั้น อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ อย่ามักง่าย ตั้งใจของเรานะอย่ามักง่าย นี่ถ้าไม่มักง่ายเราจะได้ความจริง เพราะเรามักง่ายไง

ในปัจจุบันนี้นะ ในการศึกษาธรรมมันสะดวกขึ้นเยอะแล้วแหละ นี่มีเว็บไซต์ มีทุกอย่างพร้อมหมดเลย ทีนี้เว็บไซต์นี่ศึกษามาแล้ว ในเว็บไซต์กับเรา เราคิดกับเว็บไซต์มันคนละเรื่องแล้ว เว็บไซต์เป็นอย่างนั้น เว็บไซต์มันเป็นบันทึกแน่นอนอย่างนั้น แต่หัวใจเรามันสั่นไหวหมดเลย จริงหรือไม่จริง? เชื่อหรือไม่เชื่อ? ใช่หรือไม่ใช่? นี่ใจเราไหวหมดเลย แล้วเราศึกษาอย่างไร? แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ เห็นไหม นี่มันคุยกันซึ่งๆ หน้า เราจะคิดแฉลบๆ มันก็แหยงนะ กลัวจะโดนเขกไง มันก็ต้องควบคุม ถ้าควบคุมขึ้นมามันก็ดีขึ้นมาๆ มันก็เป็นประโยชน์

นี่ปัจจุบันนี้มันก็สะดวก มันก็ง่ายดายขนาดนี้แล้ว เราอย่ามักง่ายจนเกินไปเนาะ เอวัง